วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เรื่องพรายทะเล

 เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๒ ในตอนนั้้นผมได้ไปเล่นดนตรีอยู่ที่"นิวแลนด์"ก่อนถึงจังหวัดระยองวงดนตรีของผมเล่นกันอยู่เพียง ๓ คน ๑.ผมเล่น Lead Guitar ๒.แอ๊ดเล่น Bass ๓.อ๋อยเล่น Drum {ซึ่งสมัยนั้น
ได้รับอิทธิพลจากวง Jimi Hendrix  และวง Cream } ในยุคนั้นเป็นยุคที่เฟื่องฟูของเหล่าทหารอเมริกัน
ที่เข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ที่อู่ตะเภา อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

  Bar ที่ผมเล่นดนตรีอยู่ชื่อว่า"Simease Cat"ในคืนหนึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการแสดง อ๋อยได้ชวนผมไปเที่ยวที่ทะเลสัตหีบ เมื่อเราไปถึงที่นั่น เราก็เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน  เวลาผ่านไปในราวๆ ตี ๓ เศษ
ในขณะที่อ๋อยกำลังเล่นน้ำอยู่ ปรากฎว่ามีลูกคลื่นเล็กๆวิ่งเข้ามาหาอ๋อยอย่างรวดเร็ว อ๋อยได้ตะโกนออกไปว่า"เฮ้ย!...อะไรกันวะนี่" ทันใดนั้นลูกคลื่นดังกล่าวก็พุ่งเข้าชนอ๋อยอย่างจังจนล้มลง ผมรีบวิ่งเข้าไป
ประคองอ๋อยให้ลุกขึ้น และล้วงหยิบไฟฉายส่องไปที่เท้าขวาของอ๋อย ปรากฎรอยผื่นแดงยาวราว๔นิ้ว
ผมรู้สึกใจคอไม่ดี นึกถึงคำโบราณที่บอกไว้ว่าห้ามทักสิ่งใดในยามวิกาล จึงรีบพาอ๋อยกลับนิวแลนด์
ในวินาทีนั้นทันที

 ตกรุ่งเช้าขึ้นมาผมไปดูแผลอ๋อยที่เท้า ปรากฎว่าอักเสบและบวมขึ้นอย่างมาก ผมเห็นท่าไม่ค่อยจะดี
จึงชวนแอ๊ด{พี่ชายอ๋อย}ให้พาอ๋อยไปหาพระ เพราะกลัวจะเป็นของที่เป็นคุณไสยปล่อยมาทำร้ายผู้คน
เมื่อไปถึงวัด พระท่านดูอาการเสร็จท่านก็กล่าวว่า"โยมโดนพรายทะเลมันทำร้ายเอานะ"พอพูดจบ ท่าน
ก็บริกรรมคาถาไปที่เท้าอ๋อย พร้อมกับพรมน้ำมนต์ในขันให้ด้วย...

 หลังจากนั้น ๒วัน ก็เกิดแผลขึ้นที่รอบคออ๋อย ซึ่งสมัยนั้นเขาเรียกกันว่า"งูสวัสดิ์" ในคืนนั้นอ๋อยเริ่มเพ้อ
และกระหายน้ำ ผมต้องคอยตื่นมาเอายาแก้อักเสบให้อ๋อยกินทุก ๔ ช.ม.  แผลที่เท้าและคอก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาย กลับลุกลามขยายจนเป็นวงกว้าง ดูน่าสยดสยองนัก...พอดีมีเด็กในบาร์เข้ามาดูอาการ
แล้วบอกว่า"พี่ผมว่าไปหาอาจารย์ผมดีกว่า อาการแบบนี้เหมือนโดนคุณไสย" ผมรีบบอกให้พาไปหา
พ่อหมอโดยด่วน {พ่อหมอเป็นคนจีนเป็นจอมขมังเวทย์ในแถบนั้น}

 บ้านอาจารย์อยู่เตาถ่าน แกเป็นชายกลางคนร่างเล็กผอมบาง พอไปถึงเมื่อแกตรวจสอบอาการเสร็จสรรพ แกก็หลับดาบ่นพึมพำในคออยู่ครู่ใหญ่ แกก็หยิบรากไม้สมุนไพร ส่งให้พร้อมกับน้ำมนต์แล้วพูดว่า
"เอาสมุนไพรนี่ไปตำไว้ทาที่แผล ส่วนน้ำมนต์นี่เอาไปให้กิน เดี๋ยวกูจะให้ไอ้ลอยไปเฝ้าใข้ซัก ๓วัน ก็คงจะหาย เอ็งโดนไอ้พรายทะเลมันกระทำเอา น้ำมนต์ของพระแก้ไม่ได้หรอก" ตกลงวันนั้นเสียค่าครู
หกสลึง ไก่ต้ม ๑ ตัวๆละ๕ บาท {สมัยนั้น}

 บาร์ที่ผมอยู่ด้านหลังเป็นห้องพักมีอยู่ประมาณ ๒๐ กว่าห้องเป็นรูปตัว U ในคืนนั้นช่วงเวลาตี ๔เศษๆ
มีเสียงเหมือนกับคนวิ่งบนหลังคาซึ่งเป็นสังกะสี รวดเร็วและเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผู้คนทุกห้องต่างคว้า
ปืนผา หน้าไม้ออกมาดูข้างนอกอย่างตกใจกันทุกคน{รวมทั้งผมด้วย} แต่เมื่อมองดูบนหลังคากลับไร้
ร่องรอยใดๆให้เห็น...ไม่พบเห็นผู้ใดเลย ผมจึงฉุกคิดขึ้นมาว่าชรอยคงเป็นไอ้ลอย ผีตายโหงที่พ่อหมอ
ใช้มาดูแลใข้อ๋อยละกระมัง? หลังจากนั้น ๒วันแผลต่างๆในตัวอ๋อยก็หายสนิท ไร้ร่องรอยใดๆ ปรากฎ
ให้เห็นอีกเลย...ต่อมาสืบได้ความว่าไอ้ลอยเป็นนักเลงโตอยู่แถวเตาถ่านโดนตำรวจยิงตาย แล้วพ่อหมอ
เรียกวิญญาณไอ้ลอยมาเลี้ยงไว้ เพราะไอ้ลอยก็ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นลูกศิษย์ของแกมาก่อน...

 สุดท้ายนี้ผมขอยืนยันว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจริงกับตัวผม และอ๋อยมือกลองวงเพื่อนครับ...











วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อำนาจวาสนา คือที่มาของความกังวล

  ข้อความที่จะกล่าวดังต่อไปนี้เป็นบทความของบิดาข้าพเจ้า พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคม


                                                  ในปัจจุบันวันนี้


...ข้าพเจ้าได้เกิดความเชื่ออย่างสนิทใจปราศจากข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้นแล้วว่า...


         ...พระพุทธเจ้า  มีจริง


         ...พระธรรมเจ้า  มีจริง


         ...พระอริยะสงฆ์ มีจริง


...และยังเชื่อต่อไปด้วยความมั่นใจอีกว่า...


         นรก     มีจริง


         สวรรค์  มีจริง


         บาป     มีจริง


         บุญ กุศล  มีจริง


...ใครทำดีได้รับผลดี...ใครทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว


         ...คือกฏแห่งกรรมนั้น...มีจริง


         และประการสุดท้ายก็คือ...
    
         ชาติหน้ามีจริง...




...สุดท้ายนี้ ขอไดัรับความปรารถนาดีจากผมด้วยความจริงใจ



วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ขอเงินในวันจันทร์ดับ [ วันอมาวสี ]

     วัน" จันทร์ดับ"ภาษาในโหราศาสตร์เรียกว่า" วันอามวสี" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "New Moon" ในวันนี้
จะเป็นวันที่ตำแหน่งองศาของพระจันทร์กับพระอาทิตย์ทับกันสนิท จันทร์ดับที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้หมายถึงวันที่เกิดจันทรคราสหรือ สุริยคราส แด่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนๆละ ๑ ครั้ง ดังนั้นวัน
"จันทร์ดับ"จึงถือกันว่าเป็นวันแรง ที่จะก่อเหตุดีหรือร้ายได้ ในวันที่จันทร์ดับเราต้องพยายามทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่ทะเลาะกับใคร ประหยัดรายจ่ายในวันนั้น คิดแต่เรื่องดีๆจิตใจก็จะไม่เศร้าหมอง  และขอพรจากพระจันทร์ โบราณเราเรียกวันนี้ว่า"วันขอเงินพระจันทร์" ซึ่งชาวตะวันตกก็เชื่อถือเรื่องนี้อยู่เช่นกัน


    

    ทางจันทรคติไทยเราถือว่าเป็นวันดี ที่มีปรากฏการณ์ของพลังธรรมชาติบนท้องฟ้า สัมผัสลงมายังโลกมนุษย์ ถือว่าเป็นวัน"ประตูฟ้าเปิด"พลังทั้งหลายจากดวงดาวจะถูกถ่ายเทมายังโลก ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า " วิถีชีวิตของมนุษย์นั้น มีความเกี่ยวพันกับการโคจรของดวงดาวต่างๆในระบบสุริยะจักรวาล

     ของที่จะต้องใช้ในการขอพรกับพระจันทร์มีดังนี้คือ ๑.เทียนเล็ก ๑๕ เล่มใส่ไว้ในถาดเล็กเป็นวงกลม
๒.ธูป ๑๕ ดอก ๓.หันหน้าไปทางทิศตะวันออก นะโม ๓ จบ สวดคำว่า อิ-ระ-ชา-คะ-ตะ-ระ-สา ๑๕ จบ
พอเสร็จสรรพก็เริ่มตั้งจิตอธิฐาน ในสิ่งที่ปรารถนา [ การจัดเตรียมของต่างๆเหล่านี้ต้องทำให้เรียบร้อยก่อนเวลาที่จันทร์ดับ ๑๕ นาที] ต่อไปนี้จะเป็นเวลาที่จันทร์ดับจากเดือนนี้คือ


๑.วันที่ ๑๙ มิ.ย.๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๖ น.

๒.วันที่ ๑๙ ก.ค.๒๕๕๕ เวลา ๑๐.๕๓ น.

๓.วันที่ ๑๗ ส.ค.๒๕๕๕ เวลา ๒๒๒๔ น.

๔.วันที่ ๑๖ ก.ย.๒๕๕๕ เวลา ๘.๕๘ น.

๕.วันที่ ๑๕ ต.ค.๒๕๕๕ เวลา ๑๘.๔๗ น.

๖.วันที่ ๑๓ พ.ย.๒๕๕๕ เวลา ๔.๓๓ น.[คืนวันอังคาร]

๗.วันที่ ๑๓ ธ.ค.๒๕๕๕ เวลา ๑๕.๐๒ น.
     

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พลังเมตตาแป้งเสกของ หลวงปู่บุดดา

เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ผมเล่นดนตรีอยู่ที่ "ปิกาซัส"ถนนสุขุมวิทย์ มื่อเลิกจากงาน ตี ๑ หลังจากกินอาหารรอบดึกเสร็จสรรพ ผมก็จะเดินทางไปหา ล.ป. บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข แทบทุกคืน สมัยนั้นหนทางค่อนข้างทุรกันดาร ลำบากอยู่พอสมควร แต่เนื่องจากมีความศรัทธา และมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปหาล.ป. บุดดาที่เคารพรักของผม จึงเดินทางไปกราบคารวะท่านอยู่เป็นประจำ 

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้เดินทางไปที่สิงห์บุรีตามปกติ ไปถึงที่วัดประมาณ ตี ๔-๕ ช่วยเข็ดตัวล.ป.บุดดา โดยปกติ ล.ป.จะไม่สรงน้ำ นอกจากเช็ดตัวเท่านั้น ในวันนั้นผมก็อยู่ที่วัดจนถึงเวลา ๑๔.๐๐ น.เศษก็ได้ไปกราบลา ล.ป.ก็ได้ให้แป้งเสกของท่านมา ๑ กระป๋องและท่านก็ทาแป้งเสกมาที่หน้าผมอีกจนหน้าขาวว่อง ระหว่างเดินทางกลับก็บอกพรรคพวกที่่มาด้วยอีก ๔ คนว่าจะแวะวัดพิกุลทองซักหน่อย ทุกคนก็ตกลงเห็นด้วยกับผม 

พอถึงวัดพิกุลทอง ล.พ. แพร ท่านไม่อยู่พวกผมก็เดินไปดูในตู้วัตถุมงคลผมได้เช่าพระเนื้อเงินไปหลายองค์ สุดท้ายยังมีอีก ๒ องค์ที่อยากบูชา ราคาองค์ละ๔๐๐ บาทแต่กลัวเงินไม่พอที่จะเติมน้ำมันรถ จึึงหยุดที่จะบูชา แต่มือยังคงกำพระ ๒ องค์นั่นอยู่ พระที่ดูแลอยู่ถามว่า"ทำไมโยมไม่บูชา ๒ องค์นี้เล่า?" ผมก็ตอบไปว่า"วันหลังผมค่อยมาบูชาก็ได้ครับเงินหมดพอดี "พระท่านกล่าวว่า"ไม่เป็นไรโยมอาตมาให้เอาไปเลย" ผมรู้สึกดีใจและฉงนใจกล่าวขอบคุณพระท่าน ต่อจากนั้นก็เดินทางกลับแต่ก่อนออกจากห้องบูชาพระเหลือบเห็นหนังสือวัตถุมงคลของล.พ.แพร เป็น ปก ๔ สีสวยงาม จึงหยิบขึ้นมาชมแล้วก็วางลงจะเดินออกไป ทันทีทันใดเด็กที่ดูแลอยู่กล่าวว่า"พี่ชอบหนังสือหรือครับ?" ผมตอบว่า"ชอบแต่เงินหมดแล้วหนู" เด็กตอบว่า"พี่เอาไปเลยผมให้"{หนังสือเล่มละ๑๒๐ บาท}ผมก็เกิดความฉงนใจ
เช่นเดิมแล้วกล่าวคำขอบใจเด็กไปและเดินทางออกจากวัดมา...

ระหว่างเดินทางกลับ ก็ได้เห็นรถคันหน้าชนสุนัขกระเด็นไปข้างทางแน่นิ่ง และก็ขับรถจากไปโดยไม่เหลียวแล พวกผมเป็นคนรักสัตว์เลยลงไปดูอาการเผื่อช่วยอะไรได้ แวบหนึ่งผมได้คิดว่าแป้งเสกของล.ป.คงจะช่วยอะไรได้บ้าง จึงคว้าหยิบลงไปด้วย พอถึงที่เกิดเหตุเห็นสุนัขตัวนั้นนอนนิ่งไม่ขยับต้วเลย



ผมเลยเอาแป้งโรยไปที่ตัวมัน ประมาณ5-6 วินาที มันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาและลุกเดินเหยาะๆ เข้าข้างทางไปอย่างช้าๆลับตาไป ผมจึงตระหนักได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้เกิดขึ้นจากพลังเมตตาแป้งเสกของหลวงปู่บุดดาโดยแท้




วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Richard Wagner กับ เลข ๑๓

ริชาร์ด วากเน่อร์ เป็นนักแต่งเพลงอุปรากรของประเทศเยอรมัน ซึ่่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเลข ๑๓ อย่างชิดเชื้อ เพราะตลอดชีวิตของเขามักจะต้องพัวพันและเกี่ยวข้องกับเลข ๑๓ อยู่เสมอ ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้คือ

๑.ชื่อเขามีอักษรนับได้ ๑๓ ตัวคือ Richard Wagner

๒.เขาเกิด ค.ศ.๑๘๑๓ บวกกันแล้วได้ ๑๓ ตัว

๓.เขาแต่งเพลงโอเปร่าทั้งหมดรวม ๑๓ เรื่อง


๔.เขาหนีออกจากเมืองเคลสเวน ถึงบ้านฟรันซ์ลิสก์ เพื่อนนักแต่งเพลงชาวฮังกาเรียน เมื่อวันที่ ๑๓ พ.ค. และในวันที่ ๑๓ ต.ค.ฟรันซ์ลิสก์มาเยี่ยมเขาที่ซูริค


๕.เพลง"ตันเฮกเซอร์"แต่งเสร็จเมื่อวันที่ ๑๓ เม.ย.และถูกนำออกแสดงครั้งแรกในปารีส วันที่ ๑๓ มี.ค.
ต่อมาในวันที่ ๑๓ ส.ค. เพลงนั้นถูกบรรเลงที่นครไบรุทเป็นครั้งแรกอีก


๖.เขาถูกเนรเทศออกจากประเทศเยอรมันด้วยเรื่องเกี่ยวกับการเมืองเป็นเวลา ๑๓ ปี


๗.มหาอุปรากรเรื่องโลเฮนกวิน ซึ่งมีชื่อเสียงแต่งเสร็จไว้นานแล้ว เขาพึ่งมีโอกาสได้ฟังครั้งแรกหลังจากแต่งเสร็จ ๑๓ ปี


๘.เขาแต่งงานกับ"โคสิมา" ภรรยาคนที่สอง อยู่กันได้เพียง ๑๓ ปี


๙.เพลง"ปาร์ซิฟัล"ลงมือแต่งตอนที่ ๑๓ ในวันที่ ๑๓ ต.ค.แต่งจบในวันที่ ๑๓ ม.ค. ต่อจากนั้น๑๓ เดือน
เขาก็ถึงแก่กรรมที่เมืองเวนิช


๑๐.เมื่อเขาถึงแก่กรรม บุตรของเขาชื่อ "ซิกฟริตนี" อายุได้ ๑๓ ปีพอดี




๑๑.โคสิมาภรรยาของเขาถึงแก่กรรม ค.ศ.๑๙๓๐ บวกกันได้ ๑๓ ตัวพอดี ซิกฟริตนีบุตรของเขาเหมือนบิดาคิอ แต่งเพลงทั้งหมดได้เพียง ๑๓ บทเท่านั้น

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิธีแก้เคล็ดเกี่ยวกับครุฑ





"ครุฑ"เป็นสัตว์หิมพานต์ในเทพนิยาย เป็นพญานกที่มีรูปครึ่งมนุษย์ครึ่งนกอินทรีย์ เป็นเทพพาหนะของพระวิษณุ เป็นโอรสของพระกัศยปะมุนีและนางวินตา เป็นสัตว์แห่งเทพที่ทรงอำนาจ บารมีและยังเป็นตราแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนต่างยกย่องนับถือ และให้ความเคารพ ส่วนใหญ่"ครุฑ"จะถูกติดตั้งไว้หน้าบริษัท ธนาคาร สถาบัน หรือองค์กรที่มีขนาดใหญ่


   มีความเชื่อกันว่าถ้าบ้าน ร้านค้าใดมี"ครุฑ"อยู่ในด้านตรงข้าม จะทำให้เกิดผลร้ายส่งผลให้กิจการล้มเหลวขายของไม่ดี ล่มจม ขาดทุนๆลๆ อันที่จริงแล้ว"ครุฑ" เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนจะไปทำร้ายคนโดยไม่มีเหตุผล ที่ได้ฟังมาประเภทที่กิจการล้มเหลว มักจะเป็นกรณีที่ไปท้าทายหรือคิดร้ายเช่น ติดยันต์รูปเกาทัณฑ์เล็งไปที่ครุฑ หรือว่าทำป้ายสามเหลี่ยมพุ่งไปหาครุฑ


   โดยหลักการแล้ว การที่เราไปอยู่ด้านตรงข้ามกับพลังที่เหนือกว่า ย่อมส่งผลให้เราดูด้อยลงไปอยู่แล้ว อย่าลืมว่าอาคารที่ติดครุฑได้ ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารขนาดใหญ่เช่นธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านใหญ่ๆ
ถ้าเราเป็นร้านค้าเล็กๆไปอยู่ตรงข้าม  ย่อมจะมีผลให้ดูด้อยกว่าแน่  มีกรณีที่น่าศึกษาอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับ"ครุฑ"ว่ามีคู่กรณีกันระหว่างธนาคารกับห้างสรรพสินค้าใหญ่ห้างฯหนึ่ง ครุฑจากธนาคารเล็งเข้าไปที่ห้างฯ  ทางห้างฯได้ใช้วิธีแก้โดยการติดรูปปั้นคนถือเกาทันฑ์เล็งศรไปที่ครุฑ ธนาคารก็แก้กลับโดยการตั้งป้อมปืนใหญ่{จำลอง} ๕ กระบอกเล็งสวนกลับไป ปรากฏว่าเจ๊งทั้งคู่ ต้องเลิกกิจการไปในที่สุด


   หลักฮวงจุ้ยบอกไว้ว่า  หากเราจะต้องปะทะกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แรงกว่า  การแก้ไขอย่าใช้วิธีปะทะตอบ 
วิธีที่ดีที่สุดในกรณีที่มีครุฑอยู่ตรงข้ามร้าน บ้านคือ๑.การหารูปพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงของเราหรือจะเป็นเสด็จพ่อ ร.๕ ก็ได้ มาวางไว้ตรงประตูทางเข้าร้าน เพราะครุฑคือตราแผ่นดินของพระมหากษัตริย์
 ย่อมจะไม่ทำร้าย ๒.ธรรมชาติของครุฑชอบต้นไม้และความสวยงาม  ถ้าบริเวณหน้าบ้านหรือ ชั้น ๒ มีบริเวณพื้นที่พอ ปลูกต้นไม้ที่มีดอกสีสวยสดสวยงามนับเป็นการแก้ไขที่ดีเพราะ "ครุฑ"ชอบต้นไม้ที่มี  สีสันสวยงาม ๓.หารูปปั้นสิงห์โตตัวใหญ่ หันประจัญหน้ากับครุฑ สิงห์โตเป็ฯตัวแทนของเจ้าป่า ส่วนทาง
"ครุฑ"เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าเวหา ในเมื่อเทียบศักดิ์ศรีแล้ว ถือว่าทัดเทียมกันไม่ทำร้ายกันแน่นอน


  

กายทิพย์





  กายทิพย์คืออะตอมในสรีระร่างกายของมนุษย์ที่แยกตัวออกจากเซลล์ของสรีระร่างกาย
 เพราะภายในสรีระร่างกายของมนุษย์นั้น จะประกอบด้วยเซลล์ต่างๆ เซลล์เหล่านั้นก็จะมี
อะตอมอยู่เมื่อบุคคลใดฝึกตนถูกหลักวิธี  อีกทั้งยังมีความรู้ที่ถูกต้อง  ฝึกตนได้ถึงระดับหนึ่ง 
ก็จะสามารถแยกอะตอมภายในร่างกายของตนเองได้ ซึ่งอะตอมที่แยกตัวนั้น อาจจะเป็นไป
โดยอัตโนมัติ ...หรืออาจสามารถบังคับแยกอะตอมได้ ...

  กายทิพย์เป็นอะตอม ดังนั้นจึงโปร่งแสง แต่ก็ยังสามรถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กายทิพย์
จะคงรูปอยู่ครบถ้วนหรือไม่  ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกตน ในที่นี้หมายถึงมองเห็นเป็นรูปร่างครบถ้วน  
กายทิพย์สามารถเคลื่อนที่ เคลื่อนย้ายได้ กล่าวคือ กายทิพย์สามารถเคลื่อนย้ายหรือเคลื่อน
ที่ไปได้ตามใจนึก ...ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ และวิธีการฝึกตนที่ถูกต้อง ดังนั้นผู้ที่มี
กายทิพย์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่ฝึกตนดี และมีสมาธิที่ดีแล้ว...

  กายทิพย์เกิดขึ้นได้สำหรับผู้ที่ฝึกตนดีแล้ว มีความรู้ที่ถูกต้อง จึงจะสามารถมีกายทิพย์ได้
 ดังนั้นกายทิพย์ สามารถที่ะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาที่ต้องการ บางครั้งจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ 
แด่บางครั้งก็สามารถกำหนดให้เกิดขึ้นได้ตามใจนึกของบุคคลนั้นๆ...

  กายทิพย์เมื่อถอดออกมาใหม่ๆนั้นจะโปร่งแสง  หากฝึกต่อไปอีก กายทิพย์จะค่อยๆทึบแสงลง
 เห็นเหมือน กายเนื้อมากขึ้น เรียกว่ากายหยาบ และเมื่อนำกายหยาบนั้นมาเข้าปลงอสุภะ ด้วยการ
ถอดจิตครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จะละลายกิเลสภายในกายได้ ทำให้กายหยาบลอกคราบออกไปเป็น
ชั้นๆละเอียดขึ้นตามลำดับ ครั้นเมื่อตายลงเมื่อใด กายทิพย์อันละเอียดก็จะแยกออกจากกายเนื้อ 
ไปเกิดเป็นเทพ ...พรหม สำหรับกับคนที่ไม่ได้ฝึกถอดจิตละลายกิเลสแล้ว กายทิพย์ก็จะหยาบ  
ต้องไปเกิดเป็นเทวดาชั้นต่ำ หรือว่าเป็น ผีเปรต อสุรกาย ตามกรรมวิบากของตนที่สร้างมา...

  กายทิพย์ของคนเรานั้นเมื่อตายลง กายทิพย์จะแยกกับร่างออกไปเกิดใช้กรรม ตามวาระ
วิบากกรรมของตนที่ได้สร้างมา ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว ไม่มีวันสิ้นสุด จนต่อเมื่อเข้าสู่
แดนนิพพานเท่านั้น จึงจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก...




วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พระอาทิตย์ทรงกลด

ในบางครั้งที่เรามองดูดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า จะเห็นมีดวงอาทิตย์หลายๆดวงซ้อนกันอยู่  มีขนาดโตกว่าปกติ และมีรังสีรุ้งพร่างพราวเป็นรัศมีสวยงามมาก ขอให้เข้าใจได้ว่า ภาพดวงอาทิตย์ที่เราเห็น ที่จริงมีอยู่เพียงดวงเดียว ก็คือดวงที่อยู่ตรงกลาง  ซึ่งมีความสดใสมากที่สุด ส่วนขนาดที่โตออกไปนั้น เป็นภาพที่สะท้อนออกไป ทำให้เกิดมีรัศมีโดยรอบ เรียกว่า "พระอาทิตย์ทรงกลด"

ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด   เกิดขึ้นจากบรรยากาศของโลกในชั้น  "โทรโพสเฟียร์"  ซึ่งเป็นบรรยากาศชั้นล่างสุด และเป็นที่อยู่ของกลุ่มเมฆจำนวนมาก มีอากาศเย็นจัด ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น จนทำให้ละอองน้ำในอากาศ  ในเวลานั้น แข็งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง  อนุภาคเล็กๆ จำนวนมหาศาลลอยอยู่บนท้องฟ้า  เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และส่องแสงทำมุมกับเกล็ดน้ำแข็งได้อย่างเหมาะสม 
จะเกิดการหักเหและการสะท้อนของแสง ทำให้เกิดแถบสีรุ้งคล้ายการเกิดรุ้งกินน้ำ หลังฝนตกขึ้น

ส่วนแสงสีที่เรามองเห็นด้วยตานั้น ขึ้นอยู่กับการทำมุมของแสงอาทิตย์และเกล็ดน้ำแข็ง แต่โดยทั่วไปเรามักจะเห็นเป็นสีเหลืองอ่อนๆมากที่สุด ถ้าเกิดจากการสะท้อนของแสงจะปรากฏเป็นสีเขียว แต่ถ้าเกิดจากการหักเหของแสง จะเป็นสีแดงเพลิงในตอนกลาง และเป็นสีน้ำเงินปนแดงตามขอบนอก

ขนาดของพระอาทิตย์ทรงกลดจะมีขนาดแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนมากจะมีขนาดเฉลี่ย ๓๐ องศา โดยการลากเส้นตรง ๒ เส้น  มาบรรจบกันที่ดวงตาของผู้มอง  ได้แก่ เส้นตรงที่ลากจากจุดกึ่งกลางของปรากฏการณ์มาที่ตาผู้มอง และเส้นตรงที่ลากจากขอบ ของปรากฏการณ์มาที่ดวงตาผู้มอง นับว่าเป็น
ธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ของดวงอาทิตย์อีกประการหนึ่ง

ความเชื่อของคนไทยเรานับถือ ดวงอาทิตย์ ดุจดั่งเทวดาองค์หนึ่ง สังเกตุจากการเรียกนำหน้าว่า"พระ"
ส่วนกลดก็ถือเป็นของสูงสำหรับพระเช่น กลดของพระธุดงค์ ปรากฏการณ์นี้จึงเปรียบได้กับกลดของพระ
ที่กำลังถูกล้อมรอบไว้ด้วยแสงของดวงอาทิตย์ไว้นั่นเอง  จึงถือว่าเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์  เป็น





มหิธานุภาพ ของดวงอาทิตย์ที่เป็นมงคลนำมาสู่ชาวโลกเราทั้งปวงนั่นเองแล...









วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ฤทธานุภาพมีดหมอ ล.พ.เดิม วัดหนองโพ

 มีดหมอ เป็นศาตราคมอาวุธวิเศษ ที่มีไว้สำหรับติดตัวหรือบูชาไว้กับบ้านเรือน สามารถคุ้มครองป้องกันภัย
อันตรายต่างๆทุกประการ เมื่่อนำเอามีดหมอออกปราบศัตรูโจรผู้ร้าย หรือเข้าสู่การรณรงค์ อยู่ยงคงกระพัน
ชาตรี อาวุธในยุทธสงครามทุกชนิด ไม่มีมาแผ้วพานให้ระคายผิวได้เลย  มีอำนาจราชศักดิ์ ศัตรูครั่นคร้ามเป็นนะจังงังสยบไพรีพินาศสิ้น

บรรดาภูติผีปีศาจทั้งหลายเกรงกลัวนัก ถ้ามีผีเจ้าเข้าสิงผู้คนให้เอาสันมีดหมอวางบนศีรษะ แล้วบริกรรมคาถาหัวใจพระธรรม ๗ คัมภีร์คือ สัง วิ ทา ปุ กะ ยะ ปะ ให้ได้ ๓ คาบ { ๖ จบ} ผีจะรีบเผ่นหนีออกจากร่างคนทันที หรือว่าให้เอามีดหมอจุ่มแช่ลงไปในน้ำ บริกรรมคาถาหัวใจพระธรรม ๗ คัมภีร์ ๓ คาบ แล้วเอาน้ำนี้ไปให้คนไข้ที่ผีเข้าสิง หรือถูกกระทำคุณไสยต่างๆ  กินและพ่น  คนไข้จะหายเป็นปกติ  แก้อาถรรพ์เสนียดจัญไรได้ทุกชนิด อันมีดหมอศาสตราคมวิเศษนี้  ถึงแม้ว่าศัตรูจะอยู่ยงคงกระพัน มีเครื่องรางและของขลังคุ้มครองป้องกันตัว ก็มิอาจจะคงทนต่อศาสตราคมอาวุธวิเศษนี้ได้

เมื่อถูกฟันแทงกระดูกเนื้อหนังจะหักหลุดขาดสะบั้นโดยสิ้้นเชิง พ่ายแพ้พินาศสิ้น นอกจากคนผู้นั้้้นจะมีเครื่องรางจากอาจารย์ผู้วิเศษ หรือมีของกายสิทธิ์แก้อาถรรพ์เวทย์ได้จริง จึงจะคงทนต่อศาสตราวุธวิเศษ


นีได้ เพราะอยู่ยงคงกระพันชาตรีวืเศษอย่างแท้จริง

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พลังพุทธานุภาพหลวงพ่อแช่ม วัดตากล้อง

     ตามตำราไสยศาสตร์ แบ่งเครื่องรางของขลังเป็นพลังพุทธานุภาพได้ ๖ ประเภทคือ ๑. เมตตามหานิยม 
๒. คงกระพันชาตรี ๓. อำนาจบารมี ๔. แคล้วคลาด ๕.โชคลาภ ๖. ป้องกันภัยแก้คุณไสย แต่ละสำนักก็มีความโดดเด่นในด้านต่างๆแตกต่างกันไป การปลุกเสกลงของเพื่อความเป็นสิริมงคล และเกิดโชคลาภแคล้วคลาด คงกระพัน ปลอดภัยจากภยันตราย  และอีกนานัปการ  ซึ่งท่านบูราณาจารย์ได้ปฎิบัติสืบทอดในพิธีกรรมต่างๆเป็นที่ประจักษ์ผลมาช้านาน
    
    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ได้ฟังจากคำบอกเล่าของบิดาข้าพเจ้า พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฎิพิมพาคมท่านได้เล่าให้ผมฟังดังต่อไปนี้


    เมื่อตอนที่พ่อยังเป็นเด็กอายุราวๆ ๑๑ ปี  ปู่เกิดปวดท้องขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุนอนดิ้นทุรนทุรายอย่างสาหัส ในตอนนั้นปู่ได้สั่งให้อา ๒ คนให้ไปนิมนต์ ล.พ.แช่ม วัดตากล้อง มาช่วยรักษาท่าน ซึ่งอาทั้ง ๒ ก็รีบขึ้นม้าไปตาม ล.พ.แช่มในทันที  สมัยนั้นหนทางไปมาหาสู่ค่อนข้างกันดาร ลำบากต่อการสัญจร จึงต้องขับขี่ม้าเดินทาง{จากปากคำของอาเล่าว่า} พอขี่ม้าไปถึงวัดตากล้องยังไม่ได้เอ่ยวาจาอันใดกับ.ล.พ. แช่ม ท่านก็กล่าวว่า"ข้ารู้แล้ว...พวกเอ็งกลับไปก่อน...เดี๋ยวข้าจะตามไป " อาทั้ง ๒ ก็รีบขึ้นม้ากลับมาในทันดีทันใดที่ท่านพูดจบ เพราะหนทางค่อนข้างไกลและกันดารอยู่โข แต่พออาทั้ง ๒ กลับมาถึงบ้านกลับได้รับความประหลาดใจที่เห็น  ล.พ.แช่มกำลังนั่งอยู่กับปู่  ตอนนั้นพ่อยืนอยู่กับปู่ด้วย 


  ล.พ.แช่มท่านหันมาสั่งพ่อว่า" เอ็งไปตักน้ำและใส่ใบมะยม...มา" พ่อก็รีบทำตามท่านสั่งทันที พอทำเสร็จตามสั่งก็รีบวิ่งไปหาท่าน พอใกล้จะถึงตัวท่านๆก็พูดว่า"เอ็งหยุด...ยืนอยู่ตรงนั้น !" แล้วท่านก็ล้วงมีดหมอขึ้นมาพลางร่ายเวทย์มนต์ แล้วสับมีดกลางอากาศอยู่พัลวัน... ซักพักท่านก็ให้พ่อเอาน้ำและใบมะยมที่ไปตักมาส่งให้ปู่ดื่ม พอปู่ดื่มเข้าไปซักไม่กี่อึดใจก็อาเจียรออกมา เป็นน้ำเมือกๆสีดำ...ในนั้นยังมีปอยเส้นผมอยู่อีกกระจุกนึง และยังมีแผ่นหนังชิ้นบางๆอยู่อีกด้วยแถมมีกลิ่นเหม็นน่าอาเจียร...ในตอนนั้นล.พ.แช่มท่านก็สั่งให้พ่อเอารีบเอาน้ำในขันที่เหลือไปเททิ้งที่ต้นไม้และห้ามหันกลับมามอง พ่อก็รีบทำตามคำบอกของท่าน ระหว่างเทน้ำทิ้งพ่อก็ก้มมองที่ขันน้ำก็พบว่า ใบมะยมในขันขาดวิ่นทุกใบ ก็นึกเห็นภาพว่า ตอนที่ ล.พ.แช่มท่านฟันมีดหมอกลางอากาศอยู่พัลวัน พ่อก็พอเข้าใจเรื่องราวได้ทันทีว่า 
ทุกสิ่งเกิดจาก"พลังพุทธานุภาพ" ของหลวงพ่อแช่ม วัดตากล้อง...








    

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พระคาถาอัญเชิญพระพุทธเจ้า

  พระคาถาบทนี้เป็นพระคาถาที่พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ท่านได้เคยเขียนลงใว้ในหน้งสือของท่าน คำแปลในคาถาได้ใจความออกมาว่า " ในขณะนี้ข้าพเจ้าอยู่ในที่คับขันแห่งชีวิตแล้ว  โปรดอัญเชิญพระพุทธองค์ ทรงเสด็จมาช่วยสงเคราะห์ปัดเป่าห้วงแห่งทุกข์นี้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด"

                                           พระคาถาอัญเชิญพระพุทธเจ้า


นะโม { ๓ จบ}


นะโมเตพุทธวีรัตถุ            วิปปะมุตโตสิสัพพะธิ


สัมพาธปฎิปัณโณสะมิ        ตัสสะเมสะระณังภะวะ


ภาวนา ๓ คาบ คือการที่เราสูดลมหายใจเข้าไป ก็สวด ๑ จบ ตอนเวลาถอนลมหายใจออก ก็สวดอีก ๑ 


จบ เรียกว่า ๑ คาบ ดังนั้นการภาวนา ๓ คาบก็เท่ากับว่าเราสวดคาถา ๖ จบ ดังนี้แล


ยังมีพระคาถาอีกบทหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกันคือ


                                          พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า


นะโม ๓ จบ


อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ


อิเมนะ พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธปิติอิ


ตะโจ พระพุทธเจ้่า  จงมาเป็น หนัง    


มังสัง พระธรรมเจ้า จงมาเป็น เนื้อ


อัฐิ    พระสังฆเจ้า   จงมาเป็น  กระดูก     


ตรีเพชรคงคง อิสวาสุ  จักรวาสุอิ  สุสวาอิ  พุทธปิติอิ 


{สวด ๓ จบ}











พลังจิตมหัศจรรย์ ปฐมภาค

      จิตเป็นนามธรรม มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ไม่มีรูปร่าง แต่เป็นสิ่่งที่เกิดขึ้น- ดับลง ซึ่งมีอยู่จริงตามธรรมชาติ ความเป็นนามธรรมของจิตทำให้จิตมีลักษณะเป็นธาติรับรู้ในเรื่องนามธรรมเช่น ความเจ็บปวด
เวทนา ความโลภ ความโกรธ ความหลง การเห็น การได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส  มีความทรงจำ จึงทำให้จิตมีคุณสมบัติเหนือกว่าโฟตอนของแสง จิตสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสงเป็นล้านๆเท่า ความเร็วของจิตสามารถผ่านทะลุจักรวาลหนึ่งไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่แสงต้องใช้เวลาเดินทางระหว่างจักรวาลนับล้านๆปีทีเดียว สิ่งที่สัมพันธ์กับความไวของจิตก็คือการเกิด-ดับของจิตหนึ่งครั้ง เกิดขึ้นภายในเวลาที่สั้นมาก ประมาณเศษหนึ่งส่วนล้านล้านวินาที


   
เมื่อจิตดวงเก่าดับไป จิตดวงใหม่ที่ขึ้นมาแทน จะรับการสืบทอดคุณสมบัติของจิตดวงเดิมไว้ด้วย จิตของมนุษย์มีการเกิด-ดับที่เร็วมากจนประสาทสัมผัสรับรู้ไม่ทัน เลยดูว่าเป็นจิตดวงเดิม เปรียบได้กับไฟจากเทียนไข แสงไฟที่เราเห็นส่องสว่างอยู่ จริงๆแล้วมีการเกิด- ดับอยู่ตลอดเวลา แต่เกิด-ดับด้วยอัตราที่เร็วมากจนดูต่อเนื่อง เหมือนไฟนั้นยังคงสภาพเดิมอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะดับด้วยเหตุปัจจัยคือ ไส้เทียนหมด ไม่มีออกซิเจน หรือประการสุดท้ายถูกทำลายความร้อนลง แต่ถ้าเหตุและปัจจัย๓ อย่างนี้ยังคงอยู่ดวงไฟย่อมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับจิต ที่เกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา ถ้าเปรียบไส้เทียนคือ "กรรมเก่า"ออกซิเจนคือ "อวิชชา"ความร้อนคือ"ตัณหา"เมื่อเหตุปัจจัย๓ อย่างนี้ยังคงอยู่จิตดวงใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาอีกวนเวียนอยู่อย่างนี้ จนกว่าเราจะสร้างปัญญาทำลายอวิชชาลงได้ เปรียบเสมือนทำลายออกซิเจนที่เป็นตัวการช่วยให้ไฟติด เมื่อไม่มีออกซิเจน ความร้อนที่เกิดจากตัณหาก็จะไม่เกิดขึ้น ผลกรรมก็จะหมดลง เข้าสู่มรรคผลนิพพานอย่างสมบูรณ์





วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สไลด์วีดีโอ Exguitarhora Family

      สไลด์วีดีโอชุดนี้ได้จัดทำให้บิดาผู้ล่วงลับในโอกาศครบรอบ ๑๗ ปี แห่งการมรณะกรรมของท่านเวียน

มาบรรจบครบรอบ ในวันนี้จึงจัดนำเสนอให้ทุกคนร่วมโหวดเป็นกำลังใจ

ให้ผมด้วยในการรำลึกถึงพระคุณของบิดาผู้ล่วงลับ...

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิธีป้องกันการปวดหลัง

     โรคปวดหลังมักเกิดจากอริยาบทที่ไม่สมดุลย์ โดยเฉพาะการนั่งหรือยืนอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานเกินควร ทางที่ดีควรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอริยาบทเป็นประจำเช่น นั่งไปซักพักใหญ่ ก็ลุกขึ้นยืนหรือเดินไปทำอะไรอย่างอื่นบ้างแล้วค่อยกลับมานั่งใหม่ทำนองนี้  ส่วนใหญ่อาการปวดหลังเกิดจากนั่งหรือยืนในท่าเดิมนานเกินควร การนั่งหลังงอหรือ ยกของหนัก เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดหลังขึ้นมาได้ทั้งสิ้น

     หมอนรองกระดูกสันหลังของคนเรา มีลักษณะคล้ายถุงหนาที่ห่อหุ้มเจลข้นไว้ภายใน เจลเหล่านี้ได้รับน้ำ
ออกซิเจน สารอาหารจากการซึมซาบของ" น้ำเลี้ยง" รอบๆข้อ  ไม่มีหลอดเลือดไปเลี้ยงด้านในโดยตรง
กลไกที่ทำให้คนเราปวดหลัง ส่วนหนึ่งเกิดจากปฏิกริยาของระบบภูมิคุ้มกันต่อ"ระบบวุ้นข้น" ที่แตก หรือรั่วออกมาจากหมอนรองกระดูกสันหลัง 


เราอาจจะสรุปวิธีป้องกันโรคปวดหลังได้เป็นหลักใหญ่ๆได้ ๓ ข้อดังต่อไปนี้


๑.การทำงานในชีวิตประจำวัน ควรพยายามงอเข่าและสะโพก แทนการคดงอส่วนหลังหรือเอว รักษาส่วนเอวให้ตั้งตรงไว้อยู่ตลอดเวลา และพยายามใช้กำลังที่มือและขา ไม่ใช้กำลังที่ส่วนเอว


๒.ควรเปลี่ยนท่าบ่อยๆไม่นั่งหรือยืนนานเกินไปในท่าเดิม


๓.พยายามอย่ายกของด้วยการก้มเอวหรือบิดเอว ถ้าต้องยกของหนัก ควรให้ลำตัวแนบชิดของมากที่สุด
หรือว่าหาคนมาช่วยยก 




สุดท้ายนี้ขอแนะนำเป็นพิเศษว่าท่าโยคะบางท่าก็สามารถช่วยแก้หรือบรรเทาอาการปวดหลังได้เช่นกัน










     

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความรู้เรื่องเทียนทำน้ำมนต์และความหมายของดอกไม้

       เมื่อเวลาที่พระท่านทำพิธี "ทำน้ำมนต์"แล้วดับเทียน มีเคล็ดอยู่ว่าอย่านำเอาเทียนนั้นมาจุดอีกเด็ดขาด
เพราะเวลาที่ท่านทำพิธีดับนั้น เป็นการดับทุกข์ โศก โรคภัยและเสนียดจัญไรทั้งปวง จึงเป็นการไม่ควรที่เราจะเอาเทียนนั้นๆมาจุดอีก อาจจะทำให้เกิดโทษขึ้นมาได้


       ดอกไม้ที่ใช้ลอยในภาชนะน้ำมนต์มีความหมายดังนี้
๑. กุหลาบ มีความหมายถึง ยศวัฒนะ เจริญด้วยยศ
๒. มะลิ มีความหมายถึง ธนวัฒนะ  เจริญด้วยทรัพย์
๓. บานไม่รู้โรย มีความหมายถึง อายุวัฒนะ เจริญด้วยอายุ
๔. ใบมะตูมยอดละ ๓ ใบ ๓ ยอด เพราะใบมะตูมเป็นตรีศูลของพระอิศวร ให้คุณทาง เดชวัฒนะ เจริญด้วยเดช
       
      การสะเดาะเคราะห์ จะขาดฝักส้มป่อยและผิวมะกรูดในภาขนะน้ำมนต์ไม่ได้ เพราะเป็นเครื่องสระศรีษะ




ถือว่าเป็นการปัดเสนียดจัญไรได้อย่างชะงัดนักแล... 

เคล็ดแต่ไม่ลับวิธีการต่างๆ

                                                                  วิธีแก้ควันบุหรี่ที่คลุ้งทั่วห้อง


สำหรับห้องที่มีผู้สูบบุหรี่จนกลิ่นฟุ้งควันตลบ  มีวิธีกำจัดคือ ให้เอาน้ำส้มใส่ชามไปตั้งไว้ในห้องนั้น...
ควันและกลิ่นบุหรี่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว


                                                                  วิธีตรวจสอบว่าไข่เก่าหรือไข่ใหม่


ให้เอาน้ำเย็นใส่กะทะก้นลึก วางไข่ลงไป ถ้าไข่เอาข้างนอนลงตามความยาวของมัน แสดงว่าไข่ยังสดอยู่
ถ้าก้นหรือปลายฟองไข่กระดกขึ้นมาข้างหนึ่ง ไข่นั้นมีอายุ ๓ ถึง๔ วันแล้ว แล้วถ้าก้นไข่กระดกมาก แสดงว่าไข่นั้นเก่ามีอายุกว่า ๑๐ วันแล้ว ถ้าไข่โผล่ปลายฟองลอย แสดงว่าไข่นั้นสดแท้แน่นอน ข้อควรจำคือ
ห้ามนำไข่ดิบไปล้าง เพราะจะทำให้ไข่นั้นเสียเร็ว ถ้าจะให้ไข่อยู่ทนนาน ให้ใช้น้ำมัน  หรือเนยเหลวทาเปลือกให้ทั่ว จะทำให้ไข่สดทนนาน


                                                                  วิธีตรวจดูว่ากุ้งต้มนั้นสดหรือไม่


ให้เอากุ้งต้มนั้นมาจับยืดออกให้เต็มที่ ถ้ามันงอกลับเข้าไปแสดงว่าเป็นกุ้งสด  แต่ถ้าหากกุ้งเหี่ยวตกลง
อย่าซื้อเพราะเป็นกุ้งตายนานแล้ว เอามาต้มขาย


                                                                   วิธีไล่มด


ถ้าที่ใดมีมดไต่มาก หรือว่าแห่กันมาเป็นขบวน ให้ฝานมันเทศชิ้นบางๆชุบแอมโมเนียวางไว้ใกล้ๆ บรรดามดทั้งหลายก็จะพากันหนีไปหมด


                                                                   วิธีใช้กะทะใหม่


เวลาที่เราจะใช้กะทะที่ซื้อมาใหม่ๆ ก่อนที่จะใช้ทอดของ ควรยกขึ้นตั้งไฟเสียก่อน แล้วเอาน้ำส้มเทลงไปปนกับน้ำเล็กน้อย  ต้มจนเดือดแล้วเททิ้ง จะช่วยให้กะทะนั้นทำอาหารไม่ติดก้น และทอดปลาไม่ติดอีกต่อไป


                                                                    วิธีทำให้ผักเก่าให้สดขึ้นอีก


ให้นำเอาผักเก่ามาแช่ไว้ในน้ำเย็น ผสมน้ำส้มซักเล็กน้อย หรือจะบีบมะนาวก็ได้ แช่เอาไว้ประมาณ ๑ ช.ม. ผักก็จะสดขึ้นมาอีก




วันนี้แค่ ๖เรื่องไปก่อนนะครับถ้าสนใจกัน เดี๋ยวโอกาศหน้าจัดให้ครับ...

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พระคาถาไหว้ครู

           คำว่า "ไหว้ครู " ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายไว้ว่า "ไหว้ครู
คือการทำพิธีไหว้ครูบาอาจารย์ " ครูบาอาจารย์หมายถึง "ความเป็นผู้รู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ และสามารถดูแลศิษย์ได้ "

           การไหว้ครูเป็นการแสดงความคารวะยอมรับนับถือต่อครูบาอาจารย์อย่างจริงใจว่า ท่านเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความรู้   ศิษย์ในฐานะผู้สืบทอดมรดกทางวิชาการ   จึงพร้อมใจกันปวารณาตน รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากครูด้วยความ  วิริยะ อุตสาหะ มานะและอดทน เพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายปลายทาง
ดังที่ได้ตั้งใจใว้

          ดังนั้นจึงต้องมีพระคาถาไว้เพื่อกราบไหว้ครูบาอาจารย์ แสดงความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดทั้งท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีการปฎิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน...


                                                               พระคาถาไหว้ครู


นะโม ๓ จบ


๑. โองการพินธุนาถังอุปปันนัง       พรหมาสะหะปะตินามะ
 อาทิกัปเปสุอาคะโต  ปัญจะปะทุมังทิสวา  นะโมพุทธายะวันทะนัง


๒. สิทธิกิจจัง  สิทธิกัมมัง  สิทธิการิยะ  ตะถาคะโต
สิทธิเตโช  ชะโยนิจจัง  สิทธิลาโภ  นิรันตะรัง
สัพพะกัมมัง  ประสิทธิเม  สัพพะสิทธิ  ภะวันตุเม


๓. มะอะอุ  อธิกะมูลัง  ตรีเทวานัง  มหาศาสตรา  อุอุอะอะ  มะมะมันตรา
อุอะสวามหามันตัง  มะอะอุโลปะเกเยยยัง  อังการะเสวะราชิโน
ตรีนิอักขรานิ  ชาตานิ  นะโมพุทธายะ  วันทะนัง


๔. เสฎฐันติ  ระตะนังโลเก  วันทิตะวาปะการะณัง
อิมังเลขะสมุทยัง  ปะริสายะ  ยะถาพะลัง


๕. โอม  นมัสสิตวา  นพพระตถา  คตธรรมคัมภีร์
นพสงฆ์สิกขา  นพอาจารีย์  นพโหราตรี  เวทวิทศาสตร์ไสย


๖. นมัสสิตวา  อิสีสิทธิโลกะนาถัง  อนุตตะรัง
อิสีจะพันธนังสาตรา  อะหังวันทามิตัง  อิสีสิทธิเวสสะ...


{ สวด ๓ จบ ทุกบท }







                                                           

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สุรพล สมบัติเจริญ กับตัวเลข ๑๖

         เลข ๑๖ ที่จริงแล้วทางไทยเราถือว่าเป็นเลขมงคล เพราะมีกำลังเป็นพระโสฬส ถึงแม้จะถือว่าเป็นเลขที่ดีก็จริง แต่กลับเป็นเลขให้โทษแก่ สุรพล สมบัติเจริญ ราชาลูกทุ่งในอดีต  ดังสถิติความเป็นไปใน
ขีวิตของเขาดังต่อไปนี้...
         
         เขาแต่งงานกับภรรยาในวันที่ ๑๖ พอครบ ๑๖ปีก็ต้องแยกบ้านกันอยู่ และทะเลาะกันเป็นครั้งที่ ๑๖
ทั้งยังถูกยิงตายในวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.2511 ที่หน้าเวทีการแสดง วัดหนองปลาไหล จังหวัดนครปฐม รวมอายุได้เพียง ๓๘ ปี เลข ๑๖ จึงเป็นเลขอันให้โทษแก่เขา

         ในวันเกิดเหตุ ก่อนที่จะถูกยิงตายไม่กี่ชั่วโมง เขาได้ออกมาประกาศบนเวทีที่วิกแสงจันทร์ว่า เขาจะร้องเพลง ๑๖ ปีแห่งความหลังเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อออกจากวิกนั้นก็ถูกยิงตาย ภายในวันนั้น...


          ลางร้ายบอกเหตุอีกก็คือ ก่อนจะตาย ๘ วันเขานำวงดนตรีไปแสดงที่ วัดอ้ออีเขียวตำบลกลับใหญ่  อำเภอบ้านโป่ง ราชบุรี เมือไปถึงวัดเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ เศษ  ชาวบ้านได้นำเอา แคร่ไม้ไผ่ตกแต่งอย่างดีมีคนหาม ๔ คน มาหามเขาแห่เวียนไปรอบวัด ๓ รอบ เป็นทำนองคล้ายแห่ศพ ทั้งๆที่ชาวบ้านหวังดีต้อนรับด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครเฉลียวใจได้คิดว่า มันเป็นลางร้าย  อีกประการหนึ่ง  การขึ้นเสลี่ยงคานหามแห่นั้นโบราณเขาถือกันมาก เพราะเป็นการเกินอำนาจวาสนา จะทำความวิบัติให้แก่คนๆนั้น ด้วยเป็นการทำเทียมเจ้า หรือพระเจ้าแผ่นดิน...


         
       แต่ยังมีอีกประเด็นที่ควรทราบ กล่าวคือ เลข ๑๖ทางเลขะศาสตร์เขาเอา ๑+๖=๗ เป็นเลข ของดาวเสาร์ โทษทุกข์ ดังนั้น เลข ๑๖ จัดว่าเป็นเลขดี และเลขร้ายในคราวเดียวกัน...