วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

หลวงปู่นาควัดหัวหิน





... หลวงปู่นาค ...

... ในส่วนตัวของผมนั้น มีความเคารพรักหลวงปู่นาค เป็นอย่างยิ่ง  ผมขอย้อนไปตั้งแต่
เริ่มแรกเดิมทีก็คือ ผมยังไม่รู้จักหลวงปู่นาควัดหัวหินเลย แต่ผมก็เก็บเหรียญรุ่นแรกของ
ท่านไว้ ๑ เหรียญ สภาพของเหรียญด้านหลังจะสึกอยู่มาก และก้ยังมีเหรียญรุ่นสอง ปี ...
๒๔๙๙ สภาพสุดยอดอีก ๑ เหรียญ [ เป็นของคุณพ่อทั้ง ๒ องค์ ] ...

... รุ่นแรกนั่นเรียบร้อยไปแล้วคือมีพรรคพวกมาตื๊อขอไป รำคาญก็เลยให้ไปไม่ได้คิดอะไร
ส่วนรุ่น ๒ ที่ยังอยู่ก็เพราะว่าเหรียญสวยกริบ ก็เลยยังเก็บไว้อยู่ไม่ได้ให้ใครไป เพราะตาม
ธรรมชาติของผมชอบเก็บเหรียญสวยๆซึ้งๆ เอาไว้อยู่แล้ว ...

... ต่อมาผมมาอยู่ที่หัวหินและได้ไปกราบรูปหล่อของท่านที่วัดหัวหิน เรียนรู้ประวัติของ
ท่านเพิ่มเติมจึงทำให้เกิดศรัทธากับท่านขึ้นมาอีกอย่างล้นพ้น ช่วงที่ผมแขวนรุ่น ๒ ที่เขา
เรียกกันว่ารุ่น " ป้าน " มีประสบการณ์ปลีกย่อยขึ้นมากมาย ไว้จังหวะดีผมจะเล่าขานให้
ฟังกัน ...



     ... ด้านหน้า ...


 
  ... ด้านหลัง ...


... เหรียญ ตัวจริงเสียงจริง ล.ป.นาค วัดหัวหิน รุ่น " ป้าน " ปี ๒๔๙๙ ...

... [ ของผมเอง { ที่จริงเป็นของคุณพ่อมาก่อนนะ } ประสบการณ์เพรียบ ! ]

... ตอนนี้อ่านประวัติของหลวงปู่นาคได้โดยสังเขปกันเลยนะครับ ...


... หลวงปู่นาค วัดหัวหิน ...

เกจิคู่พระทัยรัชกาลที่6

                เมื่อนึกถึง หัวหิน ย่อมเห็นภาพของหาดทรายขาวและทะเลสีฟ้าคราม คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ  และหากนึกถึง วัดหัวหิน  ย่อมต้องเห็นภาพของ อดีตพระเกจิอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งของจ.ประจวบคีรีขันธ์ นั่นคือ พระครูวิริยาธิการี หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า หลวงปู่นาค ยอดแห่งพระเกจิอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญอย่างสุงด้านวิปัสสนาธุระอีกทั้งทรงคุณวิเศษทางไสยเวทวิทยา เป็นที่เคารพนับถือของชาวหัวหิน ตลอดทั้งพุทธศาสนิกชนทุกระดับ ...

                หลวงปู่นาคเกิดเมื่อปีพ.ศ.2400 เป็นบุตรของนายพ่วง นางสุ่ม  พ่วงไป มีพี่น้องรวม 5 คน ท่านเป็นคนที่ 2 บ้านเดิมอยู่ที่บ้านลัดโพ อ.คลองกระแซง จ.เพชรบุรี  หัดเรียนเขียนอ่านอักขระสมัยที่วัดลัดโพ กับพระอธิการเมืองอยู่ 1 ปี แล้วย้ายไปอยู่กับพระอธิการสุก วัดหลักป้อม จ.สมุทรสงคราม เรียนทางพระปริยัติธรรมและบาลีธรรมอยู่หลายปี จนอายุย่าง 19 ปีจึงบรรพชาเป็นสามเณร ...

                กระทั่งอายุ 21 ปี จึงอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดหลังป้อม ได้รับฉายาว่า ปุญญนาโค  เริ่มศึกษาวิปัสสนาธุระและรับการถ่ายทอดพุทธาคมจากหลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อเอี่ยม วัดลัดด่าน และหลวงพ่อภู่ วัดบางกะพ้อม จนมีเกียรติคุณเลื่องลือด้านวิทยาคมอย่างยอดเยี่ยม ...

  ในปีพ.ศ.2464 ท่านได้ลาสิกขาออกมาช่วยครอบครัว และแต่งงานกับนางแจ่ม มีบุตร 1 คน ก่อนที่จะเลิกร้างกันไป และเกิดความเบื่อหน่ายทางโลกตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งที่วัดโตนดหลวง จ.เพชรบุรี  จำพรรษาอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนมาสร้างวัดวังก์พง ที่อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ...

                ในสมัยรัชกาลที่ 5 ชาวบ้านหัวหินได้พร้อมใจกันสร้าง วัดอัมพารามขึ้น ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดหัวหิน ขุนศรีเสละคาม (พลอย กระแสสินธุ์) กำนันโตและผู้ใหญ่กล่ำ เป็นตัวแทนชาวบ้านไปอาราธนาท่านมาเป็นเจ้าอาวาส เพราะเป็นที่เคารพเลื่อมใสของคนในท้องถิ่นนั้น ...

            นับแต่นั้นมา ท่านได้พัฒนาวัดหัวหินจนกระทั่งมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมวัดอื่นๆ มีความมั่นคงสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ...


... หลวงพ่อนาค ...

                ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันว่า หลวงปู่นาคเป็นพระเกจิอาจารย์เรืองอาคมอุดมด้วยบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ มีปฏิปทาในทางสมณธรรมเป็นเลิศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชศรัทธาเป็นพิเศษ พระองค์ทรงนับถือเสมอด้วยศิษย์กับครู ทุกครั้งที่เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี  จะทรงมานมัสการเสมอ พร้อมทั้งทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ท่านเข้าเฝ้าได้ตลอดเวลา แม้ในยามราตรี ...

                มีผู้บันทึกนิสัย ปฏิปทา และศีลวัตรของท่านไว้ว่า เป็นผู้มีอัธยาศัยรักสงบ เยือกเย็นและสุขุม ประกอบด้วยความเมตตากรุณา มีเมตตาธรรมแก่คนทั่วไปโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เป็นพระที่พูดน้อย เวลาจะตักเตือนหรือสั่งสอนใคร มักใช้คำพูดสั้นๆไม่เยิ่นเย้อ แต่เป็นคำที่เฉียบคม แฝงด้วยความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก ...

 หลวงปู่นาคเป็นพระเกจิอาจารย์องค์หนึ่งซึ่งสร้างพระเครื่องได้เข้มขลัง เนื่องจากสืบสายพุทธาคมมาจากเกจิทรงวิทยาคมหลายท่าน  วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังที่ขึ้นชื่อลือชาได้แก่ ผ้ายันต์เช็ดหน้า ผ้าประเจียดสีแดง สีผึ้งทาปาก ตะกรุดลูกอม พระพิมพ์เนื้อผงชุดวัดมฤคทายวันคือ พระสมเด็จมฤคทายวัน สมเด็จปรกโพธิ์ สมเด็จพระพุทะชินราช พระผงพิมพ์ป่าเลไลย์  นางกวัก และเหรียญพ.ศ.2477 ...

ในด้านพุทธคุณความศักดิ์สิทธิ์ กล่าวขานกันว่าดีในทางอยู่ยงคงกระพัน เมตตาค้าขาย  วัตถุมงคลบางชนิดจึงเป็นสิ่งหายาก และมีราคาสูง ในจ.ประจวบฯหรือใกล้เคียง หาได้ยากและหวงแหนกันมาก แม้จะให้ราคาสูงเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครกล้าแลกเปลี่ยนหรือให้เช่าบูชา  ...

                บั้นปลายชีวิตหลวงปู่นาคเริ่มอาพาธด้วยโรคบวมตามข้อ ปีพ.ศ.2475 รักษาตัวเรื่อยมา อาการไม่หายขาด เพียงทุเลาได้เป็นครั้งคราว ก่อนที่จะมรณภาพลงเมื่อเวลา 15.53 น. วันที่ 24 ก.ค. 2477 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครองยาวนานถึง 38 ปี (พ.ศ.2439-2477) มีอายุพรรษาได้ 43 พรรษา ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2478 ...

                ทุกวันนี้แม้จะมีเพียงรูปหล่อแทนตัวท่านประดิษฐานให้กราบไหว้ แต่ชาวหัวหินเชื่อว่า บารมีของหลวงปู่นาค ยังคอยคุ้มครองช่วยเหลืออยู่ เช่นเดียวกับคุณงามความดีที่ไม่มีวันถูกลบเลือนไป ...

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คุณพ่อทองแถม ศาสตระรุจิ




 ... อ. ทองแถม ศาสตระรุจิ ...

... อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาพรหมศาสตร์ ...


ในยุคที่มีผู้ปฏิบัติภาวนาเกิดขึ้นมากมาย ก็มีทั้งของจริงและของปลอม แต่มีวิชาหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน ไม่มีใครสอน ไม่มีตำรา เป็นวิชาที่เกิดขึ้นด้วยทิพยอำนาจแห่งใจของผู้ที่ฝึกฝนเองโดยแท้ นั่นก็คือวิชา ...
“พรหมศาสตร์”

อาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ ถือเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาพรหมศาสตร์ ท่านได้ทำอัศจรรย์ทางใจให้ผู้คนได้ประจักษ์มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี นับแล้วเป็นร้อย ๆ เรื่อง มีบันทึกสำคัญเก็บไว้เป็นหลักฐานมากมาย อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญระดับประเทศหลายต่อหลายท่าน ...

เช่นเรื่องนี้เป็นต้น...

เนื่องในพิธีพรหมาภิเศก “องค์พรหมเทพปฏิมา” เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบ 3 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2506 นี้นั้น พิธีได้กระทำขึ้น ณ เทวสถานโบสท์พราหมณ์ เสาชิงช้า พระนคร เมื่อวันที่ 18 – 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีหลายฝ่ายด้วยกัน อาทิ ฝ่ายสงฆ์มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ฝ่ายวิปัสสนาธุระมีท่านเจ้าคุณราชสิทธิ์ วัดมหาธาตุฯ เป็นประธาน ฝ่ายพราหมณ์มีพระราชครูวามเทพมุนี เป็นประธาน และฝ่ายพรหมศาสตร์มีอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ เป็นประธาน ซึ่งผู้เข้าร่วมพิธีทุกฝ่ายต่างก็ประกอบพิธีกรรมตามลัทธิของตน เพื่อความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ของ "องค์พรหมเทพปฏิมา" เป็นสำคัญ ...

ปรากฏว่าในระหว่างพิธีกรรมตลอดเวลา 3 วัน 3 คืนนั้น ผู้เข้าร่วมพิธีแต่ละฝ่ายต่างได้คัดตัวบุคคลซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษมาทำการปลุกเสกทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายสงฆ์นั้นได้นิมนต์พระอาจารย์ชื่อดังจากวัดต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรมาร่วมปลุกเสกโดยพร้อมเพรียง นอกจากนั้นยังนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งวุฒิเปรียญ 9 ประโยคอีก 9 รูป มาเจริญพระพุทธชัยมงคลคาถาตลอดเวลา...

พิธีพรหมาภิเศก "องค์พรหมเทพปฏิมา" ครั้งนี้เป็นพิธีที่ใหญ่ยิ่งพิธีหนึ่งในยุคปัจจุบัน ซึ่งบรรดาผู้เข้าร่วมพิธีทุกท่านต่างได้กล่าวยืนยันว่า นอกจากพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญของฝ่ายต่าง ๆ จะมาเข้าร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ยังมีวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระภิกษุผู้สำเร็จซึ่งมรณภาพไปแล้วกับเทพเจ้าและองค์พรหมบนสวรรค์เสด็จมาเป็นประธานในพิธีนี้ด้วยจำนวนมาก ...

เพื่อที่จะได้ทราบรายละเอียดว่าในพิธีพรหมาภิเศก "องค์พรหมเทพปฏิมา" ดังกล่าวนี้ได้มีวิญญาณของภิกษุรูปใดเทพเจ้าองค์ใด และพระพรหมองค์ใดเสด็จมาร่วมพิธีบ้างนั้น จึงได้นัดพบกับพ.อ. สมาน วีระไวทยะ (ยศในขณะนั้น) วศบ. ทบ. หัวหน้ากองนโยบายและแผน กรมส่งกำลังบำรุงทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นเจ้าตำรับ “วิทยาศาสตร์ทางจิต” ที่ชาวไทยและต่างประเทศรู้จักดี กับเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนั่งตรวจทางใน เพื่อนำเหตุการณ์ในวันประกอบพิธีพรหมาภิเศกมาเสนอ ดังนี้ ...

พ.อ. สมาน วีระไวทยะ เล่าว่า ความจริงท่านไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพิธีพรหมาภิเศกในครั้งนี้เลย แต่ในระหว่างพิธีวันที่ 19 พ.ย. นั้น ท่านได้รับคำขอร้องจากอาจารย์ชาญไชย ถาวรธารนายช่างพิเศษกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งเป็นท่านหนึ่งที่ไปร่วมพิธีในทางด้านฝ่ายพรหมศาสตร์ ขอให้ช่วยนั่งทางในตรวจดูว่ามีวิญญาณของผู้ใดรวมทั้งเทพเจ้าและพระพรหมองค์ใดมาเข้าพิธีบ้าง ท่านจึงได้ไปนั่งตรวจให้ข้าง ๆ พิธีในบริเวณเทวสถานแห่งนั้น ...

พ.อ. สมาน เล่าว่า เมื่อท่านได้เริ่มนั่งทางในตรวจดูนั้นเป็นเวลาประมาณ 00.30 น. การประกอบพิธีพรหมาภิเษกของเกจิอาจารย์ฝ่ายต่าง ๆ กำลังดำเนินอยู่และในการนั่งตรวจครั้งแรกนั้นพ.อ.สมานได้ตรวจถึงวิญญาณของพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่มรณภาพไปแล้วว่าจะมีรูปใดมาในพิธีบ้าง ...

เมื่อนั่งหลับตาเข้าสมาธิแล้วสักครูก็เห็นว่าภาพในบริเวณเทวสถานมืดสนิทลงแล้วค่อย ๆ มีแสงสว่างจ้าเป็นประกายขึ้นโดยรอบ ทันใดนั้นก็เห็นภาพของพระอาจารย์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นทีละองค์ อาทิ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆังโฆษิตาราม หลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด หลวงพ่อลี วัดอโศการาม และพระอาจารย์สำคัญองค์อื่น ๆ รวม 15 องค์ด้วยกัน และแต่ละองค์ได้บอกให้นายพันเอกแห่งกองทัพบกทราบว่าท่านจะได้มาร่วมในพิธีนี้ทุก ๆ วันจนเสร็จสิ้นพิธี 

ภายหลังจากได้ตรวจดูพระอาจารย์ต่าง ๆ จนทั่วถึงแล้ว พ.อ. สมานจึงได้เปลี่ยนเป็นตรวจดูเทพเจ้าที่มาในพิธีบ้าง หลังจากนั่งสมาธิก็ได้เห็นภายในบริเวณเทวสถานกลับมืดสนิทลงเหมือนครั้งที่แล้ว ชั่วครู่ต่อมาก็ปรากฏเป็นแสงสีเขียวรุ่งโรจน์ขึ้น แต่ไม่ปรากฏร่างของเทพเจ้าองค์ใดให้เห็น แต่จากแสงสีเขียวนี้ พ.อ.สมานทราบว่า เป็นแสงประจำองค์เทพเจ้าชั้นสูงหลายองค์ อาทิ
... พระนารายณ์ พระพิฆเณศวร์ และสมเด็จพระอัมรินทราธิราช ... 

ดังนั้นเพื่อจะขอทราบว่าเทพเจ้าองค์ใดในสามองค์นี้จะเป็นผู้เสด็จมา นายพันเอกจึงตั้งอธิษฐานขอให้ท่านเจ้าของแสงปรากฏพระองค์ให้เห็นด้วย ครั้นอธิษฐานเสร็จก็ค่อย ๆ ปรากฏร่างของเทพเจ้าองค์หนึ่งขึ้นราง ๆ และค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นจนเห็นได้ถนัด เทพเจ้าองค์นี้มีทั้งหมด 4 กร จึงทราบได้ว่าเจ้าของแสงสีเขียวรุ่งโรจน์ที่เสด็จมานั้นคือ "องค์พระนารายณ์" หรือ "พระวิษณุเทพ" นั่นเอง พร้อมกันนั้นองค์พระนารายณ์ก็ได้ตรัสให้ พ.อ. สมานทราบเช่นเดียวกับพระอาจารย์องค์อื่น ๆ ...

ในการตรวจทางในขั้นสุดท้าย พ.อ.สมาน ได้ตรวจว่าเทพเจ้าขั้นพรหมนั้นจะมีองค์ใดเสด็จมาบ้าง ครั้นได้ทำสมาธิและปรากฏความมืดสนิทขึ้นมาแล้ว ก็ปรากฏแสงสีขาวนวลคล้ายสีของไข่มุกเป็นประกายรุ่งโรจน์ และพร้อมกับแสงสีที่ปรากฏขึ้นนั้น นายพันเอกแห่งกองทัพบกก็ได้เห็นภาพของพระพรหมองค์สมเด็จปรมาจารย์ฝ่ายพรหมศาสตร์เสด็จมาเอง...

เมื่อได้นั่งทางในตรวจเห็นบรรดาพระอาจารย์ต่าง ๆ รวมทั้งเทพเจ้าและพระพรหมองค์ใดที่เสด็จมาในพิธีแล้ว พ.อ.สมานจึงได้เขียนบันทึกมอบให้อาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ ประธานฝ่ายพรหมศาสตร์เก็บไว้เป็นหลักฐาน 


ทั้งหมดนี้คือบันทึกที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2506 เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่การเห็นการรู้ของหลาย ๆ ท่านตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งท่าน พลโท สมาน วีระไวทยะ และอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิแม้แต่การสร้างพระมหาเทพทั้งสามของวัดโกรกแก้ววงพระจันทร์ ซึ่งหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ เป็นผู้ปลุกเสก พระผงรูปพระนารายณ์ก็ยังใช้ "ผงสีเขียว" ในการสร้าง ซึ่งตรงกับสีรัศมีกายของพระองค์พอดี นับว่าผู้จัดทำมีความรอบคอบยิ่งนัก ...

แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ไม่ได้แปลว่าไม่มี และบางสิ่งที่เราไม่เชื่อ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอยู่จริงเช่นกัน ...

... ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน ...

...จากบทความของคุณ รณธรรม ธาราพันธุ์ ...
... หัวข้อกระทู้เรื่อง ...
... อัศจรรย์" วิชาพรหมศาสตร์ " อ.ทองแถม ศาสตระรุจิ ... 




... ในความเป็นจริงนั้น ครอบครัวของผมมีความสนิทชิดเชื้อกับคุณพ่อ ทองแถม ...
เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคุณพ่อ และพี่ๆ ของผมได้ไปเยี่ยมเยียน คุณพ่อทองแถม
อยู่เป็นประจำ เพราะบ้านอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก [ บ้านผมอยู่ สุขุมวิทย์ ๔๙ ] ...
ในครั้งนี้ผมเห็นบทความของคุณ รณธรรม น่าอ่านยิ่งนัก จึงได้ขออนุญาตมาลงใน
ที่ีนี้ด้วยนะครับ ขอบคุณ ... สวัสดี ...