วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เนื้อเพลง"ตำรวจนกขมิ้น"

เนื้อเพลง"ตำรวจนกขมิ้น"บิดาข้าพเจ้า พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฏิพิมพาคมได้แต่งขึ้นเพื่อเป็นการปลอบขวัญตำรวจชายแดนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยุ่ในขณะนั้น...


ต่อไปนี้เป็นเนื้อเพลง"ตำรวจนกขมิ้น"
ซึ่งแต่งใว้ในสมัยเป็นผู้บังคับการตำรวจเขตุ๔


๑.    ค่ำคืนฉันยืนอยู่เวรยาม  ท้องฟ้ามืดคล้ำ      สึกล้ำเหลือคณา
    
        ลมพระพายพัดมา         อกผวาหนาวสั่น     พรั่นใจเอ๋ย


[สร้อย] ยามนี้เรารักษาหน้าที่   ใครหนอนี่ช่วยบอก   เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย


             เจ้าดอกขจร   ฉันตำรวจภูธร   ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย   โอ้ตำรวจเอย


๒.    หน้าที่ฉันมีเพื่อทุกคน    ใช้ชีวิตของตน      ฉันทนเพื่อปวงประชา


        ใครหนอใครจะมา          เวทนาฉันนั่น         พรั่นใจเอย


[สร้อย] ยามนี้เรารักษาหน้าที่   ใครหนอนี่ช่วยบอก   เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย


             เจ้าดอกขจร   ฉันตำรวจภูธร    ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย   โอ้ตำรวจเอย


๓.    ท่านผู้ใหญ่โปรดเอ็นดู    ขอช่วยอุ้มชูเลี้ยงดูตำรวจภูธร


        ฉันขอกราบวิงวอน     อย่าตัดรอนให้หวั่น   พรั่นใจเอย


[สร้อย] ยามนี้เรารักษาหน้าที่   ใครหนอนี่ช้วยบอก   เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย


             เจ้าดอกขจร   ฉันตำรวจภูธร   ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย   นอนที่นี่เอย...


    ในระหว่างที่ผมยังดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรเขตุ ๔ อยู่นั้น...มีผู้ก่อการร้ายแทรกซึมอยู่แทบทุกแห่งของจังหวัดต่างๆ นอกจากจะได้มีการปราบปรามตามระเบียบแล้ว...ผมยังส่งนายตำรวจ
ที่เป็นฝ่ายแพทย์ของกองบังคับการออกไปช่วยรักษาคนเจ็บใข้ได้ป่วยตามพื้นที่ต่างๆที่เชื่อว่ากำลังมีการแทรกซึมอยู่ โดยใช้รถจี๊ปเป็นพาหนะมีนายตำรวจ ๑ คนและตำรวจอีก ๒ คน บรรทุกยารักษาโรค
ต่างๆ ออกไปแจกราษฎร...และบางครั้งก็ได้ช่วยรักษาคนเจ็บใข้ในเบื้องต้นด้วย...ถ้าอาการหนักก็จะช่วยรับมาส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง...เป็นการกระทำแบบ ปจว.และในโอกาสนี้ก็จะสืบสวนข่าวคราว
ของผู้ก่อการร้ายไปด้วย นับว่าเป็นการได้ประโยชน์ไปด้วยหลายๆฝ่าย...




ดูคนดีดูที่งาน   ดูลูกหลาน   ดูที่ความเคารพ...ด้วยความปารถนาดีจากข้าพเจ้า...


    

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พระคาถาหลวงพ่อยี


ได้ใช้พระคาถา...สวดมนต์ภาวนามาเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว จึงปารถนาที่จะให้ทุกคนได้มีใว้สำหรับ
สวดภาวนาระลึกถึงท่านให้ปกป้องคุ้มครองตนเอง...
จุดธูป ๙ ดอก...พระคาถาที่นำมากล่าวในที่นี้ เป็นพระคาถาที่เขียนขึ้นมาจากลายมือของหลวงพ่อในสมุดของท่าน บรรดาญาติโยมของท่าน ได้คัดลอกออกมาเผยแพร่แก่สาธารณะชนทั่วไปที่เคารพในตัวท่าน...
ตั้ง นโม ๓ จบ...

บทที่ ๑.มหาปัญโญ   มหาเตโช   อุกาสะวันทามิ
             ภันเต   อาจาริโย   ปุณนะยีติ   { ภาวนา ๓ จบ}

บทที่ ๒.นะภันทะลัง   กัมมัง   อะโหสิภุมิมาเต
             นะภันเต   จะตุนะ   ปัจจะ   นะมามิ   { ภาวนา ๓ จบ}

บทที่ ๓.โอมพระเจ้าอยู่เบื้องตา   พระธรรมเจ้าอยู่เบื้องปาก
              ตัวกูขอฝากไว้ในดวงจิต   เอหิมามะ   กะรินิติ   พรหมมัสสามิ
              จิตกูนิ่งอยู่ที่พุทธัง   ตัวกูอยู่ที่พระอรหัง   เอหิมามะ   {ภาวนา ๑๐๘ จบ}

บทที่ ๔.มะธะนะ   ภันธะนัง   นิมิตตัง เตมหาภันธะนัง
             นะนิมิต   ตัสสะ   ปุณนะมิ   นังกะโรมิ   { ภาวนา ๓ จบ}

ควรสวดภาวนาก่อนนอน...ระลึกถึง...หลวงพ่อยี...



             

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อภินิหารของหลวงพ่อยี

   หลวงพ่อยี ปญญภาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดอภัยสุพรรณภูมิ [ดงตาก้อนทอง]ซึ่งตั้งอยู่ที่่ หมู่๑๐ 
ต.ไผ่ล้อม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ผู้อุทิศที่ดินเพื่อสร้างโรงเรียนให้กับชุมชน ให้ลูกหลานชาวบ้าน
ดงตาก้อนทอง และบ้านใกล้เคียงได้เล่าเรียนมาจนปัจจุบัน นับได้ว่าท่านเป็นคนดีศรีอภัยสุพรรณภูมิ
อย่างแท้จริง...ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของเพื่อนสนิทข้าพเจ้า นาย อรรถพร โตสมภาพ...ดังนี้


   เมื่อตอนเรายังเป็นเด็กๆอยู่ ป้าเราเค๊าพาเราไปเที่ยวจังหวัดต่างๆอยู่เป็นประจำ มีอยู่คราหนึ่ง ป้าได้พาเราไปที่จ.พิษณุโลก เป็นวัดดงตาก้อนทอง ทางเข้าวัดมีบันไดทางขึ้นค่อนข้างสูงสำหรับเด็กอย่างเรา เมื่อเข้าไปในกฏิพระ ก็เห็นพระภิกษุร่างเล็กแต่ดูแข็งแรงนั่งรออยู่... ที่ไปกันในวันนั้นนับว่าเป็นการรวมญาติครั้งสำคัญ เพราะบรรดาญาติๆเราไปกันเป็น ๕-๖ ครอบครัว นับว่ามากพอสมควร ป้าเราก็พาบรรดาญาติๆเข้าไปกราบกรานหลวงพ่อกันถ้วนหน้า ทุกคนได้พูดคุยกับหลวงพ่ออยู่กันนานพอสมควร หลวงพ่อ
ท่านขยับตัวลุกขึ้นและกวักมือให้ทุกคนตามท่านออกไปทางหลังกุฏิ...


   ด้านหลังกุฏิ ห่างออกไปประมาณ ๑๐ เมตรมีต้นมะม่วงใหญ่อยู่ ๑ ต้น หลวงพ่อท่านบอกทุกคนให้ยืนรอ
อยู่ตรงนี้ก่อน ท่านว่าท่านจะไปรับบิณฑบาตรจากเทวดา กล่าวเสร็จท่านก็ก้มลงคว้าบาตรเปล่าๆไม่มีอาหารใดๆ ปิดฝาบาตรแล้วเดินไปที่ต้นมะม่วงนั้น...หยุดยืนทำสมาธิภาวนาอยู่ชั่วอึดใจ แล้วท่านก็เปิดฝาบาตรออกเหมือนมีคนกำลังใส่บาตรให้ท่านอยู่...ไม่นานเท่าไร ท่านก็ปิดฝาบาตรแล้วเดินกลับมาหาญาติโยมที่ยืนรอกันอยู่...พอมาถึงท่านก็เปิดฝาบาตรออก...ปรากฏว่ามีข้าวสวยอยู่เต็มบาตร...ส่งกลิ่นหอมออกมา...เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง ท่านกล่าวว่า"เป็นข้าวของเทวดามาใส่บาตร ทุกคนมาตัก
ไปแบ่งๆกันได้จ้า" 

 ป้าเราก็เลยบอกทุกคนให้เข้าไปตักตามต้องการได้เลย ตอนนั้นเรายังเป็นเด็กน้อยแต่จากภาพที่จำได้ว่าทุกคนในวันนั้นเกิดความปิติสุขกันถ้วนหน้ากันทุกคน...ยังไม่แค่นั้น...หลวงพ่อท่านเดินไปหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาเรียกป้าเราเข้าไปหา...ล้วงมือลงไปในแก้วเปล่าพอแบมือออกมาปรากฏ
เป็นพระเนื้อดินขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์...และก็ทำแบบนี้กับทุกคนจนครบคน...


   ตามประวัติของท่านจากคำบอกเล่า...ท่านสามารถเสกกระดาษให้เป็นใบละร้อย เสกดินเป็นทองคำ
เสกใบไม้ให้เป็นเงิน หรือแม้แต่เสกใบไม้ให้เป็นกบ นำมาทำอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็เคยปรากฏมา
แล้ว...ยืดเหรียญเงินออกมา {ดูภาพด้านล่าง}ทางกรมศาสนาส่งคนมาพิสูจน์คือคุณ สัญญา ธรรมศักดิ์
พันเอก ปิ่นมุทุกันต์ ซึ่งทั้ง ๒ ท่านก็ได้เจอปาฎิหาริย์ของท่านจนต้องยอมเป็นลูกศิษย์ในที่สุด...






ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเป็นเรื่องจริง...ข้าพเจ้ายังเคยได้ข้าวทิพย์เป็นสีชมพูและสีทองมาจาก
คุณ อรรถพร โตสมภาพ...โอกาศหน้าจะจัดพระคาถาของท่านให้กับทุกคน...ในชั่วชีวิตของหลวงพ่อยี
ท่านได้แสดงอภิญญามาโดยตลอด...จนกระทั่งถึงวันมรณะภาพของท่าน...



วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บทกลอนแห่งสัจจธรรม

บทกลอนดังต่อไปนี้นำมาจากบทความของบิดาข้าพเจ้า พล.ต.ท.ชัยยงค์ ปฎิพิมพาคม...

คนเราเกิดมานั้นไม่มีใครจะล่วงพ้นความแก่ความตายไปได้เลยแม้แต่คนเดียว...การเกิดของมนุษย์นั้น
เป็นความหมายว่าให้เราได้มาชดใช้เวรกรรมต่างๆ ที่ตัวเราได้ทำไว้... และในโอกาศเดียวกันนี้ก็จะให้มนุษย์ได้สร้างกุศลผลบุญไว้...ปัจจุบันนี้คนเรามัวแต่ไปห่วงเรื่องร่างกายซึ่งจะต้องคอยตบแต่งแก้ไขใว้ตลอดเวลา...คนเรามัวแต่ไปห่วงสมบัติทรัพย์สินที่ได้ไปเสาะแสวงหามาไว้เพื่อจะปรนเปรอร่างกายให้มี
ความสุข...โดยหาคิดไม่ว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไม่สามารถจะนำติดตัวไปได้...ต้องตกเป็นทรัพย์สินของกลางสำหรับแผ่นดินต่อไป...ผมจึงอยากจะอธิบายเรื่องราวต่างๆที่ผมได้รู้ได้ทราบจากผู้ทรงคุณวุฒิถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้ได้ฟังเพื่อเป็นการประดับสติปัญญาเอาไว้บ้าง...ผมจึงอยากระบายความในใจ
ที่ได้เก็บความรู้และความจริงแห่งธรรมชาติไว้เป็นตัวหนังสือในรูปคำร้อยกรองดังนี้...

เพื่อนเอ๋ย...โปรดฟังไว้บ้าง...เป็นคติเตือนใจได้เป็นอย่างดี...นะเพื่อนนะ...ลองฟังดูก็ได้

                        ยามเจ็บไข้    ใกล้จะตาย      โปรดได้คิด
                     เพราะดวงจิต     ทุรนทุราย       เรื่องกายอยู่
                     กายคือใคร        กายของใคร   ให้คิดดู
                     แล้วจะรู้            ว่ากายนี้         ไม่มีกาย

                        มันต้องดับ      มันต้องแตก     แยกเป็นเสี่ยง
                    เพราะทุกอย่าง    มันไม่เที่ยง      ต้องสลาย
                    เพราะฉะนั้น        อย่าดิ้นรน        กระวนกระวาย
                    อย่ามั่นหมาย      ว่ากายนี้          เป็นของเรา

                      เป็นแต่เพียง     ธาตุทั้งหก        ยกก่อตั้ง
                     ทั้งนามรูป         ย่อมจะพัง        เรื่องของเขา
                     อายตนะ           ดับไป              คล้ายดังเงา
                     ทั้งขันธฺห้า         เป็นขี้เถ้า         ไม่ยั้งยืน

                       ท่านว่าไว้        ไม่มีใคร           ได้มาเกิด
                     ช่างมันเถิด         มันจะตาย         อย่าไปฝืน
                     เรื่องของกรรม     มันถลำ            ยากกล้ำกลืน
                     ไม่มีเกิด             ไม่มีฟื้น            ไม่คืนคง

                        รู้หรือเปล่า      ว่าร่างกาย          ใครให้ยืม
                     ถึงเวลา              เขาไม่ลืม           ยังประสงค์
                     กลับคืนไป          หล่อหลอมใหม่    เปลี่ยนรูปทรง
                     ขอให้ปลง          เสียเถิดหนา        พ่อยาใจ 
                     
                        เมื่อยามเกิด     ไม่ได้เอา            อะไรมา 
                      สิ้นชีวา              ก็ไม่ได้              อะไรไป
                      แม้ทรัพย์สิน       เงินทอง             ของน้อยใหญ่
                      ต้องทิ้งใว้          ดั่งอาจม             ถมแผ่นดิน

                         แต่ความแก่     เจ็บตายนั้น         มันจริงแท้
                      ของเราแน่         หนีไม่พ้น            ของเราแน่
                      ด้วยเหตุนั้น        จงหมั่นตรึก         นึกให้ชิน
                      หมั่นถวิล            ปฏิบัติ               วิปัสสนา

                         ให้ระลึก          ถึงความตาย       ไว้เถิดเจ้า
                       ความตายนี้        เป็นของเรา         แน่หนักหนา
                       มรณะ               นุสสติ                 ภาวนา
                       ให้นึกว่า            ความตายนี้          มีทุกวัน

                         อย่าเสียที        ที่เกิดมา              เป็นมนุษย์
                       เพราะยากสุด      ตอนเกิดมา          แทบอาสัญ
                       ต้องมีศีล            กรรมบท             ให้ครบครัน
                       ได้เป็นหลัก         อันสำคัญ            จึงเกิดมา  

                          อบรมจิต          ฟังธรรมะ            สัปบุรุษ
                        องค์สัมมา          พระสัมพุทธฯ       เทศนา
                        ได้กุศล              ผลบุญ               และวิชชา
                         มีปัญญา           รักษาจิต             พิชิตภัย

                          เพราะบางคาบ   เวลาหนึ่ง           จึงจะมี
                        องค์ชินศรี           พึงบังเกิด           เพริศสมัย
                        เห็นบางกัปป์        จึงพบปะ            พระรัตนตรัย
                        และบางกัปป์        ก็ว่างไป             นับล้านปี  

                           ด้วยเหตุนั้น        เราทั้งหลาย       ทั้งชายหญิง
                         อย่าหยุดนิ่ง          หมั่นฝึกจิต         อย่าคิดหนี
                         จะได้พ้น              จากนรก            อเวจี
                         ไปสู่ที่                  สงบพลัน          อันร่มเย็น

                           ขอเชิญชวน        มวลสหาย         ได้พินิจ
                         ใช้ความคิด           แล้วไตร่ตรอง     มองให้เห็น
                         วันเวลา               ไม่คอยท่า          หาประเด็น
                         สิ่งซ่อนเร้น           เป็นปัญหา         จะพาไป

                           เพื่อขจัด            กิเลศชั่ว             ที่มัวหมอง
                         ซึ่งหมักดอง         ข้องจิตนั้น           พลันสดใส
                         เป็นจิตแท้            อาตมัน              อันอำไพ
                         ขจัดให้                จิตเป็นหนึ่ง         ถึงนิพพาน...

ถ้าประชาชนทั่วๆไปในโลกนี้ พากันเลิกกระทำความชั่ว มีศีลธรรมประจำใจ มีจิตใจบริสุทธิ์ สงคราม
ก็จะไม่เกิด ดินฟ้าอากาศก็จะแจ่มใส ฝนตกต้องตามฤดูกาล บ้านใครอยู่อู่ใครนอน คิดถึงกันก็ไปมาหา
สู่กันฉันท์มิตร ประชาชนมีอนามัยร่างกายแข็งแรง โลกใบนี้ก็จะมีแต่ความสงบ มีแต่ความสะอาด...
ต่อจากนั้นก็จะเกิดพลังแห่งรังษีอันยิ่งใหญ่แผ่กระจายไปครอบคลุมทั่วผิวโลก เป็นรังษีที่จะป้องกัน...
โลกนี้ไว้จากศัตรูในพิภพต่างๆแห่งจักรวาล มิให้มาย่ำยีรังควานพิภพโลกของเรานี้ได้อย่างไม่มีปัญหา.